วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Virus



ไวรัสโรทา Rotavirus )


บทนำ 

        การศึกษาไวรัสโรทาระยะแรกๆเป็นเรื่องของการติดเชื้อในสัตว์ ระยะต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2526 Dr. Bishop และคณะ ได้พบเชื้อไวรัสโรทาเป็นสาเหตุของอุจจาระร่วงเฉียบพลันในเด็กป่วยที่ประเทศออสเตรเลีย ผลการศึกษาอาจกล่าวได้ว่าไวรัสชนิดนี้เป็นปัญหาสำคัญของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันทั้งในคน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ปีกหลายชนิด ผลจากการศึกษาวิจัยด้าน ชีวเคมี ชีววิทยา คุณสมบัติของการเป็นแอนติเจนและคุณสมบัติระดับโมเลกุลของไวรัสทำให้ได้รับข้อมูลและเพิ่มความเข้าใจในรายละเอียดของโครงสร้างและการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส ( replication ) มากขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาพยาธิสภาพของ gastrointestinal tract ในระยะของการป่วย อาการทางคลินิค ระบาดวิทยา การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการและการพัฒนาวัคซีน มากขึ้นตามลำดับ

การจำแนกชนิดของไวรัส 

        ไวรัสโรทาจัดอยู่ในตระกูล ( family ) Reoviridae สกุล ( genus ) Rotavirus มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 70 nm. ส่วนของ viral particle ประกอบด้วยแคปซิด ชั้น ชั้นนอก (outer layer) ชั้นใน ( inner layer ) และแกนกลาง core เป็นไวรัสอาร์เอ็นเอ สายคู่ 11 คู่ ซึ่งสามารถเกิด genetic reassortment ได้ง่าย ไวรัสเพิ่มจำนวนในซัยโตพลาสซึม ( cytoplasm ) ของเซล ไวรัสโรทามีความแตกต่างของ serogroup ซึ่งสามารถตรวจได้โดยวิธี immunofluorescence (IFA), enzymed-link immunosorbent assay ( ELISA ) และ Immune electron microscopy ( IEM ) ประกอบด้วย 6 serogroup ได้แก่ group A, B, C ซึ่งเป็นไวรัสในคนส่วน group D, E และ พบเฉพาะในสัตว์ serogroup antigen จะพบที่ structural protein ของไวรัส
        ไวรัสโรทา group A เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันในเด็กที่พบได้โดยทั่วไป สำหรับ group เคยเป็นสาเหตุการระบาดของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันในผู้ใหญ่ที่ประเทศจีน ส่วนไวรัสโรทา group C พบได้ประปรายในเด็กที่แสดงอาการอุจจาระร่วง แต่รายละเอียดอาการของโรคยังพบไม่เด่นชัด ไวรัสโรทา group A ที่ได้ศึกษาในรายละเอียดแล้วมี 14 serotype เป็นไวรัสที่พบมากในคน 6 serotype ได้แก่ serotype 1-4, 8 และ 9

โครงสร้างและรูปร่างลักษณะของไวรัสโรทา
            ไวรัสโรทามีลักษณะเฉพาะในตระกูลเดียวกัน เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยจะพบเป็น ลักษณะ ได้แก่ ( 1 ) double shell รูปร่างคล้ายวงล้อ ขนาดประมาณ 70 nm. ผิวของ particle ค่อนข้างเรียบ ( 2 ) inner shell ขนาดประมาณ 55 nm. ผิวขรุขระ (3) core ขนาดประมาณ 35 nm. ซึ่งพบไม่มากนักและส่วนใหญ่ อาร์ เอ็น เอ จะหลุด โดยที่ core จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ( aggregate ) 
            คำว่า “rota” เป็นภาษาละตินแปลว่า วงล้อ ( wheel ) รูปร่างของไวรัสโรทาเมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเหมือนกับ reoviruses และ orbiviruses การดูรูปร่างเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถจำแนกความแตกต่างของไวรัสทั้ง ชนิดได้เด่นชัด ดังนั้นการนำเทคนิค immune electron microscopy ( IEM ) มาใช้จะเป็นประโยชน์มากในการจำแนกดังกล่าว

คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของไวรัสโรทา ( Physicochemical properties )
         สารเคมีจำพวก calcium-chelating agents ทำให้แคปซิดของ viral particle แตกตัวออกจากกันได้ซึ่งไวรัสจะอยู่ในสภาพที่ไม่ติดเชื้อ ( loss of infectivity ) พบสาร calcium ได้ใน double shell particle สำหรับส่วนของ inner capsid และ core แยกจากกันได้ด้วยสาร chaotropic agents เช่น sodium thiocyanate หรือ calcium chloride ที่มีความเข้มข้นสูงๆ นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว การปั่นแยก outer capsid, inner capsid และ core ด้วย cesium chloride และ sucrose gradient นับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถนำมาปฏิบัติได้ โดยที่ค่าความถ่วงจำเพาะของ double shell, single shell particle และ core ใน cesium chloride เท่ากับ 1.38, 1.36 และ 1.44 g/cm3 และมีค่า sediment ใน sucrose เท่ากับ 520-530S, 380-400S และ 280S ตามลำดับ สภาพ infectivity จะ stable ที่ pH 3-9 นาน 15 นาที และจะถูกทำลายด้วยสาร disinfectants จำพวก phenol, formaline, chlorine, beta-propiolactone และ ethanol 95%

ยีโนมของไวรัสโรทา ( Genome of rotavirus )
        ไวรัสโรทาส่วนของ core ประกอบด้วย อาร์ เอ็น เอ สายคู่ 11 สาย มีน้ำหนักโมเลกุลระหว่าง 2 x 105 ถึง 2.2 x 106 daltons น้ำหนักโมเลกุลโดยเฉลี่ยของ อาร์ เอ็น เอ 11 สายประมาณ 11 x 106 ถึง 14 x 106 daltons สามารถแบ่งกลุ่มของ อาร์ เอ็น เอ 11 สายได้เป็น กลุ่ม ตามน้ำหนักโมเลกุลซึ่งตรวจดูได้โดยวิธี Polyacrylamide gel electrophoresis (PAGE) แบ่งได้ตามตำแหน่งการเคลื่อนที่ของ อาร์ เอ็น เอ ในเจล โดยกำหนดให้สายที่เคลื่อนที่ได้ช้าที่สุดเป็นยีนที่ จนถึงยีนที่ 11 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นขนาดใหญ่ สาย กลาง สาย เล็ก สาย และเล็กที่สุด สาย ลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้แตกต่างจาก reovirus ซึ่งมี 10 สายและแบ่งได้เป็น กลุ่ม ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก อย่างไรก็ตามมีไวรัสโรทาหลายสายพันธุ์ที่มีรูปแบบการเคลื่อนที่ของ อาร์ เอ็น เอ ใน PAGE แตกต่างจากที่กล่าวมาแล้ว เช่น murine rotavirus มีสายที่ 10 ติดกับ 11 หรือ avian rotavirus สายที่ และ อยู่ชิดกัน เป็นต้น ไวรัสโรทาบางสายพันธุ์ในคนมี อาร์ เอ็น เอ สายที่ 10 และ 11 จะเคลื่อนที่ช้ามากกว่าปกติ เรียกสายพันธุ์ดังกล่าวนี้ว่า short pattern อยู่ใน subgroupI และเป็น serotype 2 ในขณะที่ pattern ที่สาย 10 และ 11 เคลื่อนที่ตามที่กล่าวแล้วในสภาพปกติเรียกไวรัสสายพันธุ์เหล่านี้ว่า long pattern เป็น subgroupII นอกจากนี้ยังมีบางสายพันธุ์ที่ อาร์ เอ็น เอ สายที่ 10 และะ 11 เคลื่อนที่ช้ากว่า short pattern เรียกกลุ่มนี้ว่า super short ซึ่งพบได้ทั้งในคนและวัว จัดอยู่ใน subgroupI
        การศึกษาไวรัสโรทาโดยดู pattern ของ อาร์ เอ็น เอ ใน PAGE นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาด้านระบาดวิทยาโดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ในเซลคัลเจอร์ นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ คำว่า “Electropherotyping” เริ่มนำมาใช้อย่างกว้างขวางในการจำแนกชนิดสายพันธุ์ของไวรัสโรทาในคนและสัตว์แต่อย่างไรก็ตาม pattern ต่างๆที่พบไม่สามารถบอกถึงความสัมพันธ์ของการเป็นแอนติเจนหรือความแตกต่างของ serotype ได้ทั้งหมด จากการศึกษาในระยะต่อมาพบว่าไวรัสโรทา serotype เดียวกันอาจมี electropherotype ที่ต่างกันและในทางกลับกัน pattern ที่เหมือนกันก็อาจพบว่ามี serotype ต่างกันได้เช่นเดียวกัน
        อาร์ เอ็น เอ ของไวรัสโรทาสายที่ 1, 2, 3 และ มีรหัสในการสร้าง inner capsid polypeptide ของ viral protein (VP) ที่ 1, 2, 3 และ ตามลำดับ ส่วนสายที่ และ มีรหัสในการสร้าง polypeptide ของ outer capsid ที่ VP4 และ VP7 สายที่ 11 มีรหัสในการสร้าง polypeptide ส่วนย่อยที่ VP9 ซึ่งยังไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอน ส่วน อาร์ เอ็น เอ สายอื่นที่เหลือ ได้แก่ 5, 7, 8 และ 10 พบมีรหัสในการสร้าง nonstructural proteins ของไวรัสโรทา ส่วนของ VP4 จะแตกตัวออกเป็น VP5 และ VP8 เมื่อ viral particle ทำปฏิกริยากับ proteolytic enzyme เช่น trypsin ทำให้ไวรัสเข้าสู่เซลได้และทำให้ infectivity ของไวรัสเกิดขึ้นได้ในขั้นตอนนี้


ส่วนประกอบการเป็นแอนติเจนของไวรัสโรทา (Antigenic composition of rotavirus)
       การศึกษาไวรัสโรทาระยะแรกๆได้นำวิธีการ Immuno electron Microscopy มาใช้ ต่อมาได้พัฒนาวิธีการ ELISA, CF, IFA มาใช้ตามลำดับ ซึ่งในขณะนั้นสามารถแบ่งไวรัสโรทาได้เป็น 2 type ได้แก่ type 1 และ ต่อมาได้มีผู้นำวิธีการ IAHA มาใช้ในการศึกษาไวรัสคนและสัตว์ ทำให้พบว่าไวรัสสายพันธุ์ในสัตว์ NCDV, UK, rhesus rotavirus และ DS1 ในคนอยู่ใน type 1 คือคุณสมบัติการเป็นแอนติเจนในกลุ่มเดียวกัน จากนั้นเป็นต้นมาจึงสามารถเพาะเลี้ยงไวรัสโรทาในสัตว์ได้ในเซลเพาะเลี้ยง การนำวิธีการ IAHA มาใช้ในการศึกษาทำให้ได้รับข้อมูลมากขึ้นไนการเป็นแอนติเจนของไวรัส ในเรื่องของ serotype ซึ่งเป็น neutralizing antigen และ subgroup ซึ่งเป็น type ของไวรัสซึ่งเคยตรวจได้โดยวิธี CF และ ELISA ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่า ยีนที่ ของ อาร์ เอ็น เอ มีรหัสในการสร้างโปรตีนของ outer capsid VP7 ซึ่งเป็น neutralizing antigen ในการกำหนด serotype ส่วนยีนที่ มีรหัสในการสร้าง inner capsid protein VP6 โดยเป็นตัวกำหนด subgroup ในการเป็นแอนติเจน ต่อมาวีธี electropherotyping หรือ PAGE เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการศึกษาระบาดวิทยาระดับโมเลกุล จากวิธีนี้สามารถแบ่งลักษณะการเคลื่อนที่ของ อาร์ เอ็น เอ ในเจลได้เป็น long, short และ super short pattern โดยดูการเคลื่อนที่ของ อาร์ เอ็น เอ ที่ 10 และ 11ในเจล ซึ่งตรงกับความเป็นแอนติเจน subgroupI, II และ I
         การศึกษาวิจัยไวรัสโรทาได้พัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นตามลำดับ จนสามารถเพาะเลี้ยงไวรัสโรทาสายพันธุ์ในคนได้ในเซลคัลเจอร์ และจำแนกไวรัสโรทาได้ 4 serotype คือ serotype 1-4 ต่อมาจึงพบ serotype มากขึ้นทั้งสายพันธุ์ในคนและสัตว์ ได้แก่ ( 1 ) serotype 1, 2, 8 และ เฉพาะสายพันธุ์ในคน ( 2 ) serotype 4 พบได้ทั้งในคนและสุกร ( 3 ) serotype 3 มี host กว้างมากทั้งในคน ลิง สุนัข แมว ม้า สุกร หนู และกระต่าย ( 4 ) serotype 5 พบได้เฉพาะในม้าและสุกร ในขณะที่ serotype 6 และ พบได้เฉพาะในวัวและนก ตามลำดับ


ความจำเพาะของแอนติเจนจากโปรตีนของไวรัส

        VP6 โปรตีนของไวรัสซึ่งเป็นผลผลิตของ อาร์ เอ็น เอ สายที่ อยู่ที่ส่วน inner capsid มีปริมาณร้อยละ 51 ของโปรตีนทั้งหมดของ viral particle เป็นส่วนที่กำหนดความจำเพาะของแอนติเจนส่วนที่เป็น group และ subgroup แอนติเจนของ group A พบได้ทั่วไปซึ่งแบ่งได้เป็น subgroupI และ II
        VP7 เป็นโปรตีนส่วนของ outer capsid ที่สร้างโดยรหัสของ อาร์ เอ็น เอ สายที่ หรือ หรือ แล้วแต่สายพันธุ์ของไวรัส เป็นส่วนแอนติเจนที่กำหนด serotype ของไวรัสโดยเป็น neutralizing antigen และมีมากที่สุดที่ส่วนนี้
         VP4 เป็น viral protein ส่วน outer capsid สร้างโดยรหัสของ อาร์ เอ็น เอ สายที่ เป็นส่วนเล็กน้อยของ neutralizing antigen แต่เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นตามลำดับ


ระบาดวิทยาของไวรัสโรทา

    จากการที่พบว่าไวรัสโรทาเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอุจจาระร่วงในเด็กและเด็กเล็กนั้น ทำให้ได้รับข้อมูลด้านระบาดวิทยาของโรคจากประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนามากขึ้นตามลำดับ ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าไวรัส โรทาเป็นปัญหาของโรคอุจจาระร่วงสูงสุดในเด็กอายุต่ำกว่า ปี ถึงแม้จะพบการเกิดโรคได้บ่อยในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่อัตราการตายจะต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนา มีรายงานข้อมูลของสหรัฐอเมริกาพบว่าในเด็กอายุ 1-4 ปีมีการเกิดโรคอุจจาระร่วงแบบรุนแรงประมาณ ล้านคน และมีจำนวนผู้เสียชีวิต 150 คนจากผู้ป่วยทั้งหมด ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนามีอัตราการเกิดโรคและการตายสูงมาก โดยพบจำนวนป่วยในเด็กอายุต่ำกว่า ปี 125 ล้านคน โดยที่ผู้ป่วย 18 ล้านคน มีอาการอุจจาระร่วงแบบปานกลางและรุนแรงปะปนกัน พบว่าเด็กที่เสียชีวิตจากไวรัสโรทาในกลุ่มนี้มีประมาณ 873,000 คน ของประเทศกำลังพัฒนา
         การกระจายด้านระบาดของโรคในประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น ได้ทำการศึกษาจากระดับภูมิคุ้มกันในเด็กแต่ละชุมชน ผลการสำรวจในกรุงวอชิงตัน ดี ซี สหรัฐอเมริกา พบว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของเด็กอายุต่ำกว่า ปีมี acquire immunity แสดงว่าได้รับเชื้อจากชุมชนตั้งแต่ระยะแรกหลังเกิด นอกจากนี้ยังพบว่าภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโรทา serotype 1 และ พบมากในประเทศเยอรมันนี และญี่ปุ่น มีรายงานการศึกษาผู้ป่วยเด็กอุจจาระร่วงที่รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลกรุงวอชิงตัน ดี ซี จำนวน 1,537 คน ช่วงระยะเวลา ปี พบการเกิดโรคร้อยละ 34.5 และมีรายงานการศึกษาลักษณะเดียวกันในประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลีย พบการป่วยร้อยละ 45 และ 52 ตามลำดับ
         การศึกษาวิจัยในระยะต่อมานิยมที่จะศึกษาระบาดวิทยาของการเกิดโรคจากไวรัสโรทาโดยการสำรวจหา serotype ที่มีบทบาทสำคัญในการเกิดโรค ผลการสำรวจ serotype โดยวิธี ELISA ในภูมิภาคต่างของโลกโดยมีจำนวนตัวอย่างตรวจทั้งหมด 5,419 ตัวอย่าง สามารถ serotype ได้ร้อยละ 74 พบว่า serotype 1 มีบทบาทการเกิดโรคสูงสุดร้อยละ 61 ซึ่งพบมากในทวีปอเมริกาเหนือ อัฟริกา ออสเตรเลีย ยุโรปและแม้แต่ในประเทศไทย สำหรับ serotype 2, 3 และ พบกระจายได้ทั่วไปแต่ไม่พบ serotype 4 ในทวีปอัฟริกา


2. การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
     2.1 วิธีการตรวจวินิจฉัยปัจจุบัน
        การตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์นับเป็นวิธิการที่ดีเพราะไวรัสโรทามีลักษณะเฉพาะตัวตามที่กล่าวแล้ว แต่เนื่องจากความยุ่งยากทั้งเทคนิค เวลา และงบประมาณในการตรวจด้วยวิธีดังกล่าว จึงนิยมที่จะใช้วิธีนี้เฉพาะในกรณีที่ได้ผลการตรวจหรือวิจัยที่ขัดแย้งกันกับเทคนิคอื่น ต่อมาได้มีผู้นำวิธีการ ELISA, RPHA, PAGE มาใช้ในการตรวจวินิจฉัยทดแทนวิธีการเดิมๆที่มี sensitivity และ specificity ต่ำกว่า ปัจจุบันนิยมนำวิธีการ ELISA-typing โดยใช้ group, subgroup และ serotype specific monoclonal antibody มาใช้ในปฏิกริยา นอกจากนี้ยังได้นำวิธี PCR-typing มาใช้ในการหา serotype ได้เช่นกัน ในบางห้องปฏิบัติการได้นำวิธีตรวจวินิจฉัยโดย in situ hybridization มาใช้ในการปฏิบัติงาน สำหรับวิธี PAGE นับว่ายังคงเป็นวิธีการที่ใช้กันโดยทั่วไปจนถึงปัจจุบันเพราะมีสิ่งดีหลายประการ ทั้งความแม่นยำ จำเพาะ ต้นทุนต่ำ และไม่มีความยุ่งยากในการปฏิบัติงานดังกล่าวแล้ว

      2.2 วิธีการตรวจวินิจฉัยมาตรฐาน

                 การตรวจวินิจฉัยด้วยกล้องจุลทรรศน์นับเป็นวิธีมาตรฐานที่นิยมใช้ตั้งแต่เริ่มแรกที่ค้นพบ ไวรัสชนิดนี้ และยังคงใช้ในการตรวจยืนยันเทียบกับวิธีอื่นๆ ที่พัฒนาใหม่จนปัจจุบัน เพราะสามารถเห็นไวรัส ที่มีลักษณะเฉพาะได้อย่างแน่นอน แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของเครื่องมือที่มีราคาแพง และเทคนิคการเตรียมตัวอย่างที่ต้นทุนสูง วิธี ELISA นับเป็นวิธีมาตรฐานอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ยุ่งยาก และสามารถหาซื้อน้ำยาในท้องตลาดได้สะดวก 

3. การเก็บและนำส่งตัวอย่าง

        3.1 เก็บตัวอย่างอุจจาระทั้งกากและน้ำโดยเร็วที่สุดไม่เกิน วัน ของวันเริ่มป่วย 
        3.2 เก็บตัวอย่างประมาณ 10 มิลลิลิตร เป็นอย่างน้อยใส่ในขวดปราศจากเชื้อ
        3.3 ปิดจุกให้แน่น ปิดฉลากระบุชื่อผู้ป่วย วันที่เก็บ 
        3.4 ใส่ถุงพลาสติก รัดยางให้แน่น แช่ในกระติกน้ำแข็งที่มีปริมาณนำแข็งเพียงพอจนถึงปลายทางห้องปฏิบัติการ
        3.5 กรณีที่ยังไม่สามารถส่งตัวอย่างได้ทันที ให้เก็บตัวอย่างไว้ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น หรือตู้แช่แข็ง จนกว่าจะส่งตัวอย่างตรวจ โดยส่งตัวอย่างตรวจในระบบลูกโซ่ความเย็น

4. เครือข่ายการตรวจวินิจฉัย

1. ในประเทศ 
            ห้องปฏิบัติการในประเทศที่มีศักยภาพในการตรวจวินิจฉัยโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรทา ได้แก่ ห้องปฏิบัติการฝ่ายไวรัสระบบทางเดินอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ห้องปฏิบัติการภาควิชาจุลชีววิทยา ศิริราชพยาบาล ห้องปฏิบัติการด้านไวรัสในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น
2. ต่างประเทศ
            ปัจจุบันเครือข่ายห้องปฏิบัติการต่างประเทศมีทั่งโลกทั้งใน เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ห้องปฏิบัติการ National Institute of Infectious Diseases (NIID) ประเทศญี่ปุ่น สถาบันป้องกันและควบคุมโรค (Center for Diseases Control, CDC) ประเทศสหรัฐอเมริกา National Institute of Public Health and Environment, RIVM ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
5. วิธีการตรวจ
            การตรวจวินิจฉัยโดยวิธี RNA Electropherotyping หรือ Polyacrylamode gel electrophoresis (PAGE)
              1. นำตัวอย่างอุจจาระมาสกัดอาร์เอ็นเอด้วยสาร ฟีนอล – คลอโรฟอร์ม และตกตะกอนอาร์เอ็นเอที่สกัดได้ด้วย alcohol 95% นำส่วนอาร์เอ็นเอ ที่สกัดได้เพื่อใช้ในการตรวจวินิจฉัยการไวรัสโรทา โดยวิธี PAGE
              2. นำอาร์เอ็นเอที่สกัดได้มาผสมกับ dye marker แล้วทำอิเลคโตรโฟเรซิส ใน 10% polyacrylamide gel โดยใช้กระแสไฟ 20mA ที่อุณหภูมิห้อง นาน 16 ชั่วโมง
               3. นำ gel ที่ทำอิเลคโตรโฟเรซิสแล้ว มาย้อมด้วย 11 mM silver nitrate
               4. กรณีที่ตัวอย่างอุจจาระผู้ป่วยมีไวรัสโรทา จะพบลักษณะอาร์เอ็นเอ ใน gel มีลักษณะเฉพาะ คือ มี 11 segment และมีลักษณะการเคลื่อนที่ใน gel ตามน้ำหนักโมเลกุลแบ่งเป็น กลุ่ม กรณีนี้แปลผลว่าเป็นผบวก สำหรับตัวอย่างลบจะไม่พบ segment อาร์เอ็นเอ ใน gel







การรักษา

ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่
1.       ถ้ามีไข้ ควรให้ยาลดไข้ ร่วมกับการเช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็นระยะ
2.       ให้สารน้ำโดยการรับประทานหรือการให้เข้าทางเส้นเลือด เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขภาวะขาดน้ำ
3.       ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ถ้าผู้ป่วยมีคลื่นไส้หรืออาเจียนให้พิจารณาให้ยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียนมีภาวะพร่องแลคเตสให้พิจารณาเปลี่ยนนมเป็นนมที่ไม่มีแลคโตส ( Free Lactose)
4.       ให้ผู้ป่วยรับประทานทานอาหารอ่อน รสไม่จัด ควรให้อาหารและน้ำทีละน้อยๆ แต่ให้บ่อยๆ
5.       นอนพักผ่อน


การป้องกันโรค

1. การรักษาสุขอนามัย เป็นการป้องกันที่สำคัญที่สุด

        รักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆ ( ด้วยน้ำและสบู่ ) โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายและก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งการใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น สถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ต้องจัดให้มีอ่างล้างมือและส้วมที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการกำจัดอุจจาระเด็กให้ถูกต้องด้วย หากพบเด็กป่วย ต้องรีบป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ควรแนะนำผู้ปกครองให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหยุดรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ  ระหว่างนี้ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ และห้างสรรพสินค้า และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย
            ในกรณีที่เป็นทารกและเด็กเล็ก แนะนำการให้นมมารดา เนื่องจากในน้ำนมมารดามีสารภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคอุจจาระร่วง แต่ในรายที่ใช้นมผสมและขวดนม ควรชงนมในปริมาณที่พอดีต่อการให้นมแต่ละครั้ง ทำความสะอาดขวดนมให้สะอาดและนำไปต้มหรือนึ่งทุกครั้งก่อนการนำมาใช้ใหม่

2. วัคซีน

        ปัจจุบัน ได้มีการผลิตวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า โดยเริ่มผลิตครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 10 ปีก่อน แม้มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรค แต่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ได้แก่ การเกิดโรคลำไส้กลืนกัน จึงมีการระงับการใช้ไป ต่อมาเมื่อ ปีก่อนได้มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งวัคซีนรุ่นใหม่นี้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ในการป้องกันโรคและมีความปลอดภัยสูง


วัคซีนโรต้า

            เป็นวัคซีนเชื้อมีชีวิตที่อ่อนกำลังมี 2 ชนิดคือ
  1) RotaRix® หรือ RV1 ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์เดี่ยว ( monovalent, G1P ) ที่แยกได้จากคนไข้ และทำให้อ่อนกำลังโดยเลี้ยงในเซลล์ไตลิงเพาะเลี้ยง ( vero cell ) ติดต่อกันหลายๆครั้ง ทำเป็นรูปผงแห้งในขวดปิดจุกยางมาพร้อมกับตัวทำละลาย 1 มล. บรรจุในหลอดพลาสติดคล้ายกระบอกฉีดยา (แต่อย่าเผลอสวมเข็มและให้โดยวิธีฉีด) กระจายผงยาในตัวทำละลายที่ให้มาคู่กัน ก่อนหยดใส่ปากทารก เด็กที่แพ้ยางไม่ควรเลือกใช้วัคซีนยี่ห้อนี้
 2) RotaTeq® หรือ RV5 ประกอบด้วยไวรัสสายพันธุ์ผสม 5 ชนิด ( multivalent reassortant rotavirus, G1P[4], G2P[4], G3P[4], G4P[4], G6P[8] ) ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนยีนระหว่างไวรัสของวัวกับไวรัสที่ก่อโรคของคน ทำเป็นรูปยาน้ำในหลอดบีบพลาสติกบรรจุ 2 มล.
 วัคซีนโรตาเป็นวัคซีนเผื่อเลือกที่มีประสิทธิภาพดีพอสมควรและปลอดภัย แต่วัคซีนยังมีราคาแพงและไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทุกสายพันธุ์ แต่ช่วยลดความรุนแรงของโรคโดยลดอัตราตายและลดจำนวนเด็กป่วยหนักที่ต้องนอนโรงพยาบาล แต่เนื่องจากมีความชุกชุมโรคสูง ดังนั้นหากสามารถจ่ายได้ก็ควรให้บุตรหลานรับวัคซีนตามกำหนด ราคาโด๊สละประมาณพันกว่าบาท


ขนาดและวิธีบริหารวัคซีน

             วัคซีนทั้งสองชนิดให้โดยวิธีค่อยๆหยดเข้าปากเด็ก ตารางการให้วัคซีนตามปกติ RotaRix® ให้ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 มล. เมื่อทารกอายุ 2 และเดือน ส่วน RotaTeq® ให้ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 มล. เมื่อทารกอายุ 2 เดือน 4 เดือนและ 6 เดือน วัคซีน 2 ชนิด
กรณีเร่งด่วนวัคซีนโด๊สแรกอาจเริ่มให้ได้ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ แต่อย่างช้าไม่เกินอายุ 14 สัปดาห์ 6 วัน และต้องได้รับวัคซีนครบทุกโด๊สเมื่ออายุไม่เกิน 8 เดือน หากเกินกว่านี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องความปลอดภัย

ประสิทธิภาพของวัคซีน

             ประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิดไม่ต่างกัน สำหรับไวรัสสายพันธุ์ที่มี G1, G2, G3, G4 หรือ P[8] วัคซีนทั้งสองมีประสิทธิภาพป้องกันการเกิดโรคอย่างรุนแรงได้ร้อยละ 85-98 ป้องกันการเกิดโรคทุกขนาดความรุนแรงในฤดูกาลระบาดปีแรกที่รับวัคซีนร้อยละ 74-87
ภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อไวรัสสายพันธุ์หนึ่งสามารถป้องการการเกิดโรคหรือลดความรุนแรงของโรคอันเกิดจากไวรัสโรต้าสายพันธุ์อื่นได้ ดังนั้นแม้สายพันธุ์ในวัคซีนจะไม่ตรงกับไวรัสที่ก่อโรคในภูมิภาคนั้น ๆ แต่วัคซีนยังให้ผลป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคได้


ผลข้างเคียง

             ผลข้างเคียงต่างๆภายหลังรับวัคซีน เช่น อาการปวดท้อง หรือถ่ายเหลวช่วงสั้น ๆ ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน การเฝ้าระวังความปลอดภัยของวัคซีนหลังออกสู่ท้องตลาด มีรายงานในเม็กซิโก การรับวัคซีนโรต้าเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อย ที่จะเกิดลำไส้กลืนกัน (1 รายต่อวัคซีน 1 แสนโด๊ส) แทบทุกรายเกิดภายใน 7 วันหลังรับวัคซีนโด๊สแรก แต่ยังไม่มีรายงานในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการใช้วัคซีนทั้งสองหลายล้านโด๊ส
แนะนำให้สังเกตความผิดปกติต่าง ๆ ภายหลังรับวัคซีนประมาณ 1 สัปดาห์ เช่น ทารกกรีดร้องเพราะอาการปวดท้องรุนแรง มีอาเจียนหลายครั้ง หรือมีเลือดในอุจจาระหรือไม่ และสังเกตุอาการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ซีด หายใจลำบากมีเสียงวิ๊ด ๆ หรือกลืนลำบาก หากเป็นเช่นนั้น ต้องส่งโรงพยาบาล และงดรับวัคซีนครั้งต่อไป

ข้อห้ามใช้

 1. แพ้วัคซีนอย่างรุนแรง
 2. ภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ( Severe Combined Immunodeficiency Disease, SCID ).
 3. มีประวัติเกิดลำไส้กลืนกัน


คำแนะนำ

      1. เด็กที่จะรับวัคซีนโรต้าไม่ต้องงดนมแม่
      2. เด็กที่รับวัคซีนปล่อยไวรัสในวัคซีนออกมากับอุจจาระได้นาน ล้างมือให้สะอาดภายหลังการเปลี่ยนผ้าอ้อม
      3. ถ้าทารกเกิดติดเชื้อก่อนรับวัคซีนครบจำนวนครั้ง ให้รับวัคซีนต่อให้ครบตามกำหนด เพราะยังมีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของโรคสำหรับการติดเชื้อครั้งต่อไป
      4. หากทารกสำรอกภายหลังรับวัคซีน ไม่แนะนำให้รับวัคซีนซ้ำ เพราะเกรงปัญหารับเกินขนาด อาจทำให้เกิดลำไส้กลืนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น