Neisseria gonorrhoea
เชื้อโกโนค็อกไคนี้จะทำให้เกิดโรคกับคนเท่านั้น
ไม่เกิดกับสัตว์ยกเว้นการทดลองให้ติดเชื้อในลิงซิมแพนซี
การติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์ เชื้อนี่จะทำลายเยื่อเมือกของทางเดินระบบปัสสาวะและสืบพันธุ์
ตา ทวารหนัก ลำคอ ทำให้หนองรุนแรง และเชื้อจะบุกรุกเข้าเนื้อเยื้อ
ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเกิดเส้นใยผิดปกติ ( fibrosis )
Neisseria
gonorrhoeae มีลักษณะรูปร่างทรงกลม
ติดสีแกรมลบ เซลล์มักอยู่เป็นคู่โดยเอาด้านแบนเข้าหากันคล้ายเม็ดกาแฟ
เซลล์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 ไมโครเมตรไม่เคลื่อนที่ไม่สร้างสปอร์
เชื้อที่มีความรุนแรงในการเกิดโรคอาจมีแคปซูลและพิไล
โครงสร้างที่ผิวเซลล์
เชื้อN.gonorrhoeae มีโครงสร้างที่ผิวแตกต่างกัน ได้แก่
1.
พิไล เป็นเส้นเล็กๆ ยื่นออกจากไซโทพลาสซึม
ช่วยยึดกับเซลล์โฮสต์ และต่อต้านกระบวนการฟาโกไซโทซิส พิไลประกอบด้วยโปรตีน พิลิน ( pilin )มีน้ำหนักโมเลกุล
17000-21000ดาลตัน
2.
โปรตีน1 เป็นส่วนที่ยื่นออกจากเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อโกโนเรีย
ประกอบกันเป็นรูอยู่ที่ผิวเซลล์ ทำให้สารอาหารแพร่เข้าสู่เซลล์ได้ โปรตีน1 มีน้ำหนักโมเลกุล ตั้งแต่ 34000-37000ดาลตัน
แต่ละสายพันธุ์ของเชื้อจะมีโปรตีน1 เพียงชนิดเดียว
และมีแอนติเจนที่ต่างกัน
3.
โปรตีน 11ทำหน้าที่ไห้โคโลนีจับกลุ่มกัน
และทำไห้เชื้อโกโนค็อกไคเกาะกับเซลล์ ของโฮสได้ส่วนหนึ่งของโปรตีน11จะอยู่ในเมมเบรนชั้นนอกส่วนที่เหลืออยู่กับผิวเซลล์โปรตีน11 มีน้ำหนักโมเลกุล 24000-32000ดาลตัน โปรตีน
จะมีอยู่ในเชื้อโกโนค็อกไคที่มีโคโลนีขุ่น ส่วนพวกที่มีโคโลนีใสอาจมีหรือไม่มีโปรตีน
4. โปรตีน111 น้ำหนักโมเลกุลประมาณ 33000 ดาลตัน มีสมบัติเป็นแอนติเจน โปรตีนจะร่วมกับโปรตีน111 เพื่อสร้างเป็นช่องอยู่ที่ผิวเซลล์
5. ลิโพพอลิแซ็กคาไรด์ ( lipopolysaccharide,LPS )อยู่ชั้นนอกสุดของเซลล์ มีน้ำหนักโมเลกุล 3000-7000 ดาลตัน
มีหน้าที่เกี่ยวกับความเป็นพิษของเอนโดทอกซินของเชื้อ(ในรูปที่5.2เป็น( lipooligosaccharide )
ลักษณะการก่อโรค
ในผู้ชายจะปรากฏอาการง่ายกว่าผู้หญิง โดยมักเกิดการติดเชื้อครั้งแรกที่ท่อปัสสาวะ
ทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบ และปัสสาวะลำบาก
มีหนองเป็นสีครีมเหลืองๆ ออกทางท่อปัสสาวะ ภายในหนองมีเชื้อจำนวนมาก เวลาถ่ายปัสสาวะจะรู้สึกเจ็บปวดมาก และติดเชื้อลุกลามเข้าต่อมลูกหมาก ( prostate
gland ) ท่ออสุจิ ( seminal vesicle ) และท่ออัณฑะ ( epididymismis ) ทำให้เกิดอาการอักเสบ เมื่อทิ้งไว้เรื้อรังหนองจะค่อยๆหายไป
แต่จะเกิดเส้นใยผิดปกติ (fibrosis) และทำให้ท่อปัสสาวะตีบตันได้
ในผู้หญิงที่เป็นโรคนี้จะไม่ปรากฏอาการถึง
70-80% พวกที่ปรากฏอาการเพราะถ่ายปัสสาวะแล้วเจ็บปวด มีหนองไหลจากช่องคลอด
มีไข้และปวดในช่องท้อง การติดเชื้อจะลุก
ลามจากท่อปัสสาวะ และช่องคลอดไปยังปากมดลูกและลุกลามต่อไปยังท่อนำไข่(oviduct)ทำให้เกิดการอักเสบของอุ้งเชิงกราน ( pelvic
inflammatory disease,PID ) และเกิด fibrosis
ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้เป็นหมัก การติดเชื้อเรื้อรังจะทำให้ปากมดลูกอักเสบหรือทวารหนักอักเสบ
นอกจากนี้ทั้งชายและหญิงเชื้อยังเข้ากระแสเลือดอีกด้วย(มีประมาณ 1%ของผู้ติดเชื้อ)ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังโดยเฉพาะเป็นตุ่มหนองที่มีเลือดออกเรื่อๆทั้งชายและหญิงอาจเกิดการติดเชื้อที่ทวารหนักได้โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นพวกรักร่วมเพศ
ทั้งชายและหญิงเมื่อเชื้อโกโนเรียเข้ากระแสเลือดแล้วจะไปทำให้เกิดข้ออักเสบ
เอ็นอักเสบโดยเฉพาะตามหัวเข่า ข้อมือ ข้อเท้า และทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบรวมทั้งการติดเชื้อที่ตาด้วย
อาการของโรค
อาการของโรคจะเกิดขึ้นรวดเร็วหลังจากได้รับเชื้อ
1-4 วัน
จะทำให้เยื่อบุอวัยวะต่างๆอักเสบและเป็นหนอง ส่วนมากทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุท่อปัสสาวะ
อาการในผู้ชาย

อาการในผู้หญิง
หลังจามได้รับเชื้อ
2-3 วันจะเกิดการอักเสบของท่อปัสสาวะหรือปากมดลูก ถ่ายปัสสาวะแสบขัด
ปัสสาวะบ่อย อาจพ่ายปัสสาวะเป็นเลือด
โดยทั่วไประยะนี้มักไม่ค่อยมีอาการรุนแรงและอาจไม่ได้สังเกต ระยะต่อมาจะลุกลามเข้าอุ้งเชิงกรานขณะมีประจำเดือน ทำให้เกิดการอักเสบของปีกมดลูก ท่อนำไข่
จะปวดท้องน้อยทั่งสองข้าง ประจำเดือนผิดปกติปวดเมื่อยหลัง มีไข้หนาวสั่น
อาจมีเยื่อหุ้มช่องท้องส่วนล่างอักเสบและมีน้ำเหลืองออกทางช่องคลอด โรคอาจลุกลามไปที่กระเพาะปัสสาวะและทวารหนัก ถ้ารักษาไม่หายจะเป็นเรื้อรังและเป็นพาหะนำโรคได้ เมื่อหายอาจเป็นหมันเพราะท่อรังไข่อุดตันทำให้ตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

อาการในเด็ก เด็กอาจติดเชื้อโกโนเรียที่ตาของเด็กทารกแรกคลอด ( Ophthalmai neonatorum )โดยติดเชื้อจากช่องคลอดของมารดาที่เป็นโค
ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ
ตาแดงมีขี้ตามาก มีไข้สูง มักเกิดอาการหลังคลอด 2-3
วันซึ่งมีผลร้ายแรงที่ทำให้ตาบอด ได้
ถ้ารักษาไม่ทัน
ดังนั้นเด็กทารกแรกคลอดจะได้รับการป้ายตาด้วยซิบเวอร์ไนเตรต 1%

นอกจากนี้ยังพบการอักเสบของอวัยวะเพศของเด็กหญิงได้เรียกว่า แคมและช่องคลอดอักเสบ โดยติดต่อจากผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ชิดกัน
อาการจะเกิดการบวมแดงเจ็บและแสบช่องคลอด
มีกนองปนมูกไหบออกมา
มีการอักเสบที่เยื่อหุ้มทวารหนักทำให้อัดเสบแดง ผู้ป่วย 3ใน4 จะหายเองได้ภายใน3-6เดือน
การวินิจฉัยโรค
ในรายที่เป็นรุนแรง
ใช้วิธีย้อมเชื้อโดยนำหนองมาจากหลอดปัสสาวะ ปากมดลูก
ต่อมลูกหมาก มาย้อมวิธีแกรมซึ่งมีความไวมากจะเห็นเชื้อติดสีแดง(แกรมลบ)
เป็นเปปดิโพลค็อกไค ปนอยู่กับหนองและเม็ดเลือดขาวชนิดพอลิเมอร์โพนิวเคลียร์ ( polymorphonuclear leukocyte ) พร้อมทั้งเพาะเชื้อด้วย แล้วน้ำมาย้อมด้วยวิธีอิมมิวโนฟลูออเรสเซนซ์ ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับ การซักประวัติผู้ป่วยด้วย เพื่อจะได้รักษาทันท่วงที
การรักษา
แต่เดิมรักษาด้วยซัลโฟนาไมด์ ( sulfonamide ) แต่ก็พบว่าเชื้อดื้อยาในปัจจุบันใช้ยาเพนิซิลลินในการรักษา โดยในรายที่รุนแรงใช้โปรเคน เพนิซิลลินจี
4.8 ล้านหน่วย
แบ่งฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้งและกินโปรเบนาซิด ( probenasid ) 1
กรัม หรือาจให้กินอะมอกซีซิลลิน ( amoxicillin ) 3 กรัม หรือแอมพิซิลลิน ( ampicillin ) 3.5 กรัมหรือตัวใดตัวหนึ่งร่วมกับกินโปรเบนาซิด
1 กรัมก็ให้ผลในการรักษา หรือบางท้องที่อาจใช้เซฟไตรอะโซน ( ceftriaxone )250 มิลลิกรัม
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรืออาจให้กินเตตราไซคลินไฮโดรคลอไรด์500มิลลิกรัม 4ครั้งต่อวันเป็นเวลา 7 วันหรือกินดอกซีไซคลิน ( doxycyclin )100มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 7 วัน ในรายที่เชื้อแพร่กระจายไปทั่ว ยังรักษาด้วยเพนิซิลลินจี 10 ล้านหน่วยทุกวันเป็นเวลา 5-10
วันในรายที่เป็นเรื้อรังมีการอักเสบที่ต่อมลูกหมากปีกมดลูกอักเสบการรักษาต้องใช้เวลาเนิ่นนานออกไป
ปัจจุบันมีเชื้อบางสายพันธุ์ที่สร้างเอนไซม์บีตาแล็กกทาเมส ( β –lactamase ) ทำให้เชื้อดื้อยาเพนิซิลลินที่เรียกว่า penicilinase-producing N. gonorrhoeae ( PPNG ) การรักษาจึงใช้ยาสเปกติโนไมซิน ( spectinomycin ) หรือไตรเมโธพริม-ซัลฟาเมธอกซาโซล ( trimethoprimsulfamethoxazole )ในขนาดสูงเป็นเวลา5 วันตั้งแต่ปี ค.ศ.1981ก็พบเชื้อโกโนเรียที่ดื้อต่อยาสเปกติโนไมซิน ยาตัวใหม่ เช่น เซฟาโรสปอลิน ( cephalosporin ) ก็ให้ผลดีในการรักษาเชื้อโกโนเรียที่ดื้อต่อเพนิซิลลิน
การป้องกันและควบคุมโรค
เนื่องจากโกโนเรียเป็นเชื้อที่แพร่กระจายทั่วโลก และมีอุบัติการณ์ของโรคเกิดขึ้นเรื่อยๆ
โดยกาติดต่อจากคนสู่คนโดยมากเกิดจากการมีความสัมพันธ์ทางเพศและมัดเกิดติดต่อจากหญิงหรือชายที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการของโรค ได้แก่
ผู้ชายที่พึ่งติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้ในผู้หญิงมักได้แก่หญิงปริการที่มีความส่ำส่อนทางเพศสูง
ดังนั้นการป้องกันเรื่องนี้จึงต้องให้ความรู้ด้านสุขศึกษาเกี่ยวกับโรคหนองในแก่ประชาชนค้นหาผู้ป่วยและวินิจฉัยโรคให้พบ ให้การรักษาแต่เนินๆ
ให้ความรู้แก่ประชาชนว่าไม่ควรรักษาตัวเองโดยซื้อยากินเอง เพราะจะทำให้โรคดื้อยาได้ง่ายขึ้น การป้องกันอีกทางหนึ่งโดยแนะนำการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
ข้อแนะนำ
1.
ในบ้านเราพบเชื้อหนองในที่ดื้อต่อกลุ่มยาเพนิซิลลิน เรียกว่าเชื้อ PPNG ซึ่งย่อมาจาก
Penicillinase
Producing Neisseria
Gonorrhea ชาวบ้านเรียกว่า ซูเปอร์โกโนเรีย ซึ่งจะรักษาด้วยยาฉีดโปรเคนเพนิซิลลิน
ที่เคยใช้ในสมัยก่อนไม่ค่อยได้ผล ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทน
2.
ระหว่างที่รักษา ห้ามหลับนอนกับภรรยา เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ และงดดื่มเหล้า 1 เดือน
เพราะเหล้าอาจทำให้หนองไหลมากขึ้น
3.
ควรแนะนำให้ผู้สัมผัสโรค เช่น หญิงที่มีสามีเป็นหนองใน หรือผู้ที่หลับนอนกับคน
ที่เป็นหนองในไปตรวจรักษาโรคนี้พร้อม ๆ กันไปด้วย
เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่เชื้อแก่กันอีก
4.
ผู้ที่เป็นหนองใน ควรเจาะเลือดตรวจ วีดีอาร์แอล (VDRL ซึ่งย่อมาจาก Venereal
Disease
ReserchLaboratory) เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีการติดเชื้อซิฟิลิสร่วมด้วย
ถ้าพบวีดีอาร์แอลเป็นผลบวก หรือเรียกว่าเลือดบวก ก็แสดงว่าเป็น ซิฟิลิส
ควรตรวจครั้งแรกเมื่อก่อนให้การรักษาและอีก 3 เดือน ต่อมาตรวจซ้ำอีกครั้งนอกจากนี้
ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวี พร้อมกันไปด้วย
5.
หญิงตั้งครรภ์ถ้าเป็นหนองใน ควรรีบรักษาให้หายขาด มิฉะนั้น
ลูกอาจติดเชื้อระหว่างคลอด ทำให้ตาอักเสบรุนแรงและอาจทำให้ตาบอดได้
6.
หนองในติดต่อโดยการร่วมเพศเป็นสำคัญ ถ้ามีการร่วมเพศในลักษณะแปลกไปจากปกติ
ก็อาจทำให้เป็นหนองในลำคอ หรือทวารหนักได้ส่วนการติดต่อโดยทางอื่นพบได้น้อยมาก
ที่อาจพบได้ คือ การใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนถูกหนองในสด ๆเช็ดตา เชื้ออาจเข้าตา
ทำให้ตาอักเสบรุนแรงได้
จึงควรหลีกเลี่ยงจากการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับคนที่เป็นโรคเชื้อหนองในไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสระว่ายน้ำ
หรือโถส้วม ดังนั้นโอกาสที่จะติดเชื้อจากสระว่ายน้ำหรือโถส้วมจึงเป็นไปไม่ได้
7.
ความเชื่อเรื่องของแสลงสำหรับโรคนี้ เช่น สาเก หน่อไม้ หูฉลาม อาหารทะเล เป็นต้น
ทางวงการแพทย์ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด แต่ที่แน่นอน คือ ต้องงดเหล้า เบียร์
ทุกชนิด เป็นเวลา 1 เดือน เพราะ
อาจทำให้หนองไหลมากขึ้น
ส่วนอาหารอื่น ถ้ากินแล้วทำให้หนองไหลมากขึ้นหรือกำเริบใหม่ ก็ควรจะงด
8.
หนองในและหนองในเทียม บางครั้งอาจแยกอาการกันไม่ออก ถ้าใช้ยารักษาหนองใน
(โดยไม่ได้ตรวจเชื้อก่อน ) อย่างเต็มที่แล้วไม่ได้ผล อาจเป็นเพราะเชื้อดื้อยา
หรืออาจหนองในเทียม ก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น